สวัสดีค่ะ ผู้เข้าเยี่ยมชมทุกท่านนะคะ Blogger นี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์, ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์, อินเทอร์เน็ต, การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน, และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอผลงาน

คำอธิบายรายวิชา

คำอธิบายรายวิชา
........ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไมโครซอฟท์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์ค ระบบซอฟท์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และการอ้างอิง ฝึกปฏิบัติการ สามารถใช้คอมพวิเตอร์ขั้นพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่าง เหมาะสมได้

วัตถุประสงค์ในรายวิชา
........เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนจบแล้วตามหลักสูตรแล้วจะมีพฤติกรรมหรือความสามารถดังนี้


1. อธิบายความหมาย ความสำคัญ และองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศได้

2. อธิบายความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้
3. ยกตัวอย่างเทคโนดลยีสารสนเทศและการสื่อสารในชีวิตจริงได้
4. อธิบายความหมายและความสำคัญของวิธีระบบได้
5. อธิบายความสัมพันธ์ของวิธีระบบกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้
6. บอกความหมายและองค์ประสกอบสำคัญๆของคอมพิวเตอร์ได้
7. อธิบายหน้าที่ขององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ได้

8. บอกประเภทและคุณสมบัติของซอฟท์แวร์แต่ละประเภทได้
9. บอกความหมายและความสำคัญของอินเตอร์เน็ตได้
10. บอกความสัมพันธ์ของเครือขายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
11. อธิบายแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้

12. อธิบายวิธีประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการศึกษาได้
13. ยกตัวอย่างโปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้
14. สร้างสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนได้
15. นำเสนอสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งที่เป็นสื่อทั่วไปและสื่อระบบเครือข่ายได้


เนื้อหาบทเรียน
หน่วยการเรียนที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หน่วยการเรียนที่ 3 คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 4 ซอฟต์แวร์
หน่วยการเรียนที่ 5 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 6 อินเตอร์เน็ต
หน่วยการเรียนที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
หน่วยการเรียนที่ 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอผลงาน

รูปแบบของกระบวนการเรียนการสอน


  • วิธีสอน : เป็นการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
  • เนื้อหาบทเรียน : เนื้อหาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู
  • เครื่องมือกำกับการเรียนรู้ : ความซื่อสัตย์(integrity)
กิจกรรมการเรียนการสอน
    • การบรรยายประกอบสื่อในชั้นเรียนปกติ (traditional classroom)
    • การศึกษาค้นคว้าด้วยสื่อออนไลน์หรือเว็บบล็อก
    • การสรุปและนำเสนอในชั้นเรียนด้วยสื่อ ICT
    • การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
    • การสรุปเป็นรายงาน
    • การทดสอบเพื่อวัดและประเมินผล

หน่วยที่ 7

หน่วยที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

1. แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

    หลักการค้นหาข้อมูลความรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
     ใน การทำงานต่างๆ เช่น นักศึกษาทำการบ้านหรือทำรายงานส่งอาจารย์  หรือพนักงานบริษัทเตรียมการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ  มักจะต้องมีการหาข้อมูลประกอบการทำงานนั้นๆ บางครั้งข้อมูลอาจเป็นเพียงข้อมูลง่ายๆ

การค้นหาข้อมูล
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ และข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย
          เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้  เป็นเครือข่ายประเภทต่าง ๆ  ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรง
          อินทราเน็ต (Intranet) เป็น เครือข่ายภายสำหรับองค์กรหนึ่ง ๆ ข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร  หรือข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์ขององค์กร  คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับเครือข่ายอาจอยู่ภายในตึกเดียวกัน  หรือกระจายกันอยู่ทั่วประเทศหรือทั่วโลกก็ได้
         เอกซ์ทราเน็ต (Extranet)  เป็นเครือข่ายภายในสำหรับองค์กรเช่นเดียวกับอินทราเน็ต  แต่เปิดให้สมาชิกภายนอกที่ได้รับอนุญาตต่อเชื่อมกับเครือข่ายได้ด้วย          อินเทอร์เน็ต (Internet) ทั้งอินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต เป็นเครือข่ายส่วนบุคคลเนื่องจากมีเจ้าของและเจ้าของเป็นผู้กำหนดว่าใครบ้าง สามารถเป็นสมาชิกของเครือข่ายได้ (Private network)  แต่ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีเจ้าของ  ทุกคนที่อยากต่อเชื่อมกับเครือข่ายสามารถต่อเชื่อมได้  เพียงแต่ปฏิบัติตามกติกาซึ่งมีคณะกรรมการอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศเป็นผู้ กำหนด  อินเทอร์เน็ตจำเป็นแหล่งข้อมูลเปิดแหล่งใหญ่ที่สุดของโลกที่มีข้อมูลสารพัด ชนิด  ทั้งที่มีประโยชน์ เช่น ข่าวสาร และสารความรู้ต่าง ๆ และสิ่งที่เป็นพิษและเป็นภัย                    รูปแบบของข้อมูลในเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวแล้ว เป็นเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน  ดังนั้น  รูปแบบของการนำเสนอของข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจึงอาจแตกต่างกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นสมาชิกในวงปิดอาจใช้รูปแบบและวิธีการของตัวเอง  


2. การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
        ใช้วิธีการ  ที่เรียกว่า เซิร์จเอ็นจิน  (Search engine)  ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ  การค้นหาทำได้โดยการพิมพ์  คำสำคัญ  หรือ  คีย์เวิร์ด  (Key Word)  เข้าไปในช่องที่กำหนด  แล้วคลิกที่ปุ่ม  SEARCH  หรือ  GO  โปรแกรมค้นหาจะเริ่มทำงาน  การแสดงผลการค้นหาจะแสดงชื่อเว็บไซต์  URL  และมักจะแสดงสาระสังเขปของเว็บไซต์นั้นๆ  ด้วย  เพื่อช่วยให้ผู้คนหา สามารถตัดสินใจในเบื้องต้น ว่าเว็บไซต์นั้นมีข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลจำเป็นจำนวนมาก  บางครั้งเซิร์จเอ็นจิน  จะพบข้อมูลข้อมูลนับพันนับหมื่นรายการ  ซึ่งทำให้เสียเวลากลั่นกรองหาข้อมูลที่ต้องการจริงๆ  เซิร์จเอ็นจิน  บางตัวจะมีระบบค้นหาที่ละเอียดขึ้น เรียกว่า  แอดวานซ์เชิร์จ  (Advanced search  หรือ  Refined search)  โดยให้ผู้ค้นหาสามารถระบุเงื่อนไขได้  เช่น  หากจะค้นหาโดย ใช่คีย์เวิร์ด  “e-commerce”  อาจจะค้นพบเป็นหมื่นรายการ  แต่ถ้าคีย์เวิร์ด  “e-commerce  in  Thailand”  อาจค้นพบเป็นร้อย  และถ้าใช้คีย์เวิร์ด  “e-commerce  in  Thailand  AND  NOT  handicraft”  ก็อาจค้นพบน้อยลงเหลือไม่กี่รายก็เป็นได้  วิถีการดังกล่าว  เรียกว่าการ  การกรอง  (Filter)  ซึ่งอาศัยการตั้งเงื่อนไขเชื่อมโยงกันด้วยคำที่เป็น  Boolean Operators  ได้แก่  คำว่า  AND, OR, NOT ทำให้มีผลเท่ากับการเลือกเงื่อนไขแบบใช่ทั้งหมด  ใช้บางส่วนหรือไม่ใช้บางเงื่อนไข  วิธีจะพบโปรแกรมค้นหาส่วนมาก  ผู้แต่งใช้โปรแกรมค้นหาหลายโปรแกรมอาจสับสน  เพราะแต่ละโปรแกรมจะมีวิธีการกำหนดการกำหนดให้พิมพ์เงื่อนไขต่างกัน  เช่น  บางโปรแกรมให้ใช้เครื่องหมายบวก (+)  แทน  AND  แต่บางโปรแกรมอาจใช้เครื่องหมายเดียวกันแทน  OR  เป็นต้น  ผู้ใช้จึงต้องศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละโปรแกรม
โปรแกรมค้นหาที่นิยมใช้กันมาก   เพราะเพาะมีความสามรถสูงนั้น  มีอยู่ตามเว็บไซต์  ต่อไปนี้
             http://www.google.com
            http://www.altavista.com
            http://www.excite.com 
            http://www.yahoo.com      เป็นต้น
           สำหรับโปรแกรมค้นหาภาษาไทยนั้นเริ่มมีใช่บางแล้ว  แต่ประสิทธิภาพยังไม่สูงนักเนื่องจากความลำบากในการแยกคำในภาษาไทย  ซึ่งเขียนต่อกันโดยไมมีการเว้นวรรคคั่น  เป็นคำๆ แบบภาษาอังกฤษ  และอีกประการหนึ่ง  เนื่องจากข้อมูลทางภาษาไทยบนเว็บไซต์ยังมีจำนวนน้อย   เซิร์จเอ็นจิน  ภาษาไทยมีอยู่ในเว็บไซต์  ต่อไปนี้
 http://www.hotsearch.bdg.co.th   เป็นต้น

3. คำแนะนำในการใช้ Google
 3.1  การค้นหาแบบง่าย
      ให้พิมพ์คำที่เกี่ยวข้อง  กับสิ่งที่ต้องการค้นหาเพียง  2 - 3  คำ  ลงไป   แล้วกดแป้น   Enter   หรือคลิกที่ปุ่ม  Go  บนหน้าจอ  Google ก็จะแสดงเว็บเพจที่ค้นพบ  โปรแกรมค้นหาของ  Google จะแสดงเฉพาะเว็บเพจที่มีคำทุกคำที่ท่านได้พิมพ์ลงไป  ดังนั้น ถ้ายิ่งใส่จำนวนคำลงไปมาก จำนวนเว็บเพจที่ค้นพบจะยิ่งลดจำนวนลง  เพราะเป็นการค้นหาที่มีเงื่อนไขมากขึ้นนั้นเอง
3.2  ข้อควรทราบเกี่ยวกับหลักการทำงานของ Google เพื่อการค้นหาชั้นสูง
     1.  อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กตัวใหญ่มีผลไม่ต่างกัน  โดย Google  จะถือว่าอักษรตัวเล็ก (Lower case)  ทั้งหมด
     2.  คำว่า  and  มีอยู่แล้วโดยปริยาย  เฉพาะ Google  จะหาเฉพาะเว็บเพจ  ที่มีคำครบทุกคำ  จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้  and  เพื่อเชื่อมระหว่างคำหลัก  แต่ลำดับก่อนหลังของคำหลักจะให้ผลที่แตกต่างกัน
     3.  คำสามัญประเภท  a,  an,  the,  where,  how  จะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ  รวมทั้งตัวอักขระโดดๆ  เพราะคำพวกนี้ทำให้การค้นหาช้าลง  และไม่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด  ในกรณีที่ต้องการให้ใช้คำสามัญคำใดในการค้นหาด้วย จะต้องนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายบวก  ( + )  เช่น  “Standard  and  Poor”  ในกรณีหลังนี้  โปรแกรมค้นหาจะค้นหา  ตามวลีที่อยู่ภายในเครื่องหมายคำพูด
      4.   การกำหนดเงื่อนไขไม่ใช่คำบางคำในการค้นหา โดยนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายลบ  ( – )  เช่น ต้องการหาเว็บเพจที่เกี่ยวกับ e-Commerce Thailand – handicraft
      5.  การกำหนดให้ใช้คำที่มีความหมายคล้ายกัน  (Synonym)  ด้วย  ให้นำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมาย  tilde
      6.   การเลือกคำหลักมีข้อแนะนำ   ดังต่อไปนี้
   -  ลองใช้คำตรงๆ  ก่อน  เช่น  ถ้าท่านต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ  Picasso  ก็ให้ใส่คำว่า Picasso  ลงไป
 -   แทนที่จะใช้คำว่า  painters
   -   ใช้คำที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ในเว็บไซต์ที่ต้องการหา  เช่น  Jumbo  Jet  ในเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยสาร  เป็นต้น
  -  ทำให้คำหลักมีความเจาะจงมากที่สุดที่จะเป็นไปได้  เช่น   Antiquelead   soldier  จะดีกว่า  old metal toys

           7.  รูปคำต่างกัน ที่มากจากรากศัพท์เดียวกันจะได้รับพิจารณาโดยอัตโนมัติ  เช่น  diet  กับ dietary
           8.  การค้นหาตามหมวดสาขา  ( Category )  ในกรณีที่คำหลักมีความหมายได้หลายอย่าง และท่านไม่แน่จ่าจะทำให้เจาะจงอย่างไร  ให้เข้าไปที่  Directory  ของ  Google  ซึ่งอยู่ที่ directory แต่ถ้าท่านต้องการข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์  ยี่ห้อ  Saturn  ท่านจะใช้คำหลักเดียวกันนี้ค้นภายใต้   Automotive category
            9.  Google  มีหน้าเว็บพิเศษ  สำหรับช่วยให้สามารถทำการค้นหาชั้นสูงได้ง่าย  ขึ้นโดยผู้ใช้ไม่ต้องจดจำวิธีการพิมพ์เงื่อนไข  แต่ใช้วิธีเลือกพิมพ์ข้อความลงไปในช่องที่เหมาะสมแทน  ซึ่งสามารถค้นหาเป็นภาษาไทยได้







ภาพแสดง  ผลการค้นหาด้วยโปรแกรมค้นหา  ของ  Google.com

4. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)

     เป็นการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากแบบหนึ่ง  แต่มีข้อจำกัดตรงที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับต้องมีอีเมลแอดเดรส  (email  address)  หลักการเช่นเดียวกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ กล่าวคือผู้ส่งใช้โปรแกรมรับส่งอีเมล  เช่น ไมโครซอฟต์เอาต์ลุก (Microsoft Outlook)  หรือโปรแกรมเว็บเมล  (Web  mail)  เป็นต้น   โปรแกรมไมโครซอฟต์เอาต์ลุกปกติจะมากับชุดโปรแกรม  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  ใช้สำหรับรับส่งอีเมลได้ทุกกรณี  แต่ต้องมีการติดตั้ง (Set-up) ก่อนใช้จึงเป็นการไม่สะดวกนัก หากผู้ใช้ต้องการจะไปรับส่งอีเมลที่เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นนอกจากเครื่องที่ตนใช้เป็นประจำ   วิธีการรับส่งแบบเว็บเมล  เป็นวิธีที่สะดวกกว่า เพียงแต่ผู้ใช้เข้าสู่อินเตอร์เน็ต  แล้วเข้าสู่เว็บไซต์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย  (Host)  ของอีเมลแอดเดรสที่ตนใช้อยู่  และเลือกคลิกที่ปุ่ม  e-mail  หรือ  Mail  โปรแกรมเว็บเมลซึ่งติดตั้งอยู่ในเครื่องนั้นก็พร้อมที่จะทำงานทันที
            การส่งอีเมลทำได้โดยผู้ใช้อีเมลพิมพ์ชื่อและอีเมลแอดเดรสของผู้รับ  พิมพ์ข้อความลงในกรอบที่กำหนด  และหากมีการส่งเอกสารที่จะแนบไปด้วย  ก็ระบุชื่อไฟล์ของเอกสารที่ต้องการแนบ เสร็จแล้วคลิกปุ่มส่ง (Send) จดหมายฉบับนั้นก็จะไปรออยู่ที่  “ตู้รับจดหมาย”  ของคอมพิวเตอร์แม่ข่าย  ที่ผู้รับมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ให้บริการ  เมื่อใดทีผู้รับเข้าสู่โปรแกรม  รับส่งอีเมล  จดหมายฉบับนั้นก็พร้อมที่จะถูกเปิดขึ้นมาให้อ่านได้ทันที หากผู้ใช้ไม่อยู่ที่สำนักงานจดหมายก็จะรออยู่ไม่ตกหล่นหรือหายไปไหน  ดังนั้น  วิธีนี้เป็นการสื่อสารที่ส่งไปถึงผู้รับทันที  แต่ผู้รับจะได้รับเมื่อใด  ขึ้นอยู่ที่ว่ารับจะเปิดคอมพิวเตอร์เข้าไปรับแอดเมื่อใด
           ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้  สามารถใช้ส่งจดหมายฉบับเดียวกันถึงผู้รับหลายๆ คนก็ได้และโปรแกรมรับส่งส่วนมากจะอนุญาตให้ผู้ใช้จักทำ  “รายชื่อกลุ่มผู้รับ”  (Group mailing list) เช่น   อาจตั้ง  ชื่อกลุ่มว่า  Members  in  Bangkok  ประกอบด้วยผู้รับ  35  ราย  Members  in  the North  อีก  25  ราย   Members  in  the  South  อีก  20  ราย   เป็นต้น   เมื่อจัดทำรายชื่อผู้รับ   (อีเมลแอดเดรส) ในแต่กลุ่มเรียบร้อยแล้ว  จะทำการส่งถึงกลุ่มใด  ก็เพียงแต่ระบุชื่อชื่อกลุ่มเท่านั้น  ไม่ต้องป้อนอีเมลแอดเดรสของผู้รับแต่ละราย   ซึ่งทำให้สะดวกและประหยัดเวลาได้มาก

 5. กระดาษข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Web forum)

                กระดาษ คือ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์และชาวจีนโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียนคือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลกปัจจุบันกระดาษไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้จดบันทึกตัวหนังสือ หรือข้อความ เท่านั้น ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้มากมาย เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ กระดาษลูกฟูกสำหรับทำกล่อง เป็นต้น
                ข่าว คือ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 ให้ความหมายว่า คำบอกเล่าเรื่องราวซึ่งโดยปรกติมักเป็นเรื่องเกิดใหม่หรือเป็นที่สนใจ, คำบอกกล่าว, คำเล่าลือ คำว่า ข่าว ถ้ามองในแง่ของการสื่อสารข้อมูล ก็จัดว่าเป็นข้อมูลชนิดหนึ่งที่จะต้องมี ผู้ที่ทำให้เกิดข่าว ผู้ส่งข่าว สื่อกลางที่ใช้ในการส่งข่าว และผู้รับข่าว ในระหว่างสงครามข่าวส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลของฝ่ายตนเอง และฝ่ายตรงข้าม
ประเภทของข่าว
ในปัจจุบันเรามีข่าวสารหลากหลายประเภทมากมาย ตามแต่ที่ผู้คนจะต้องการรู้ เช่น
ข่าวการเมือง จะเป็นการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง นักการเมือง กระบวนการต่างๆทางการเมือง
ข่าวสังคม จะเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นที่จับตามองของสังคม เช่น กลุ่มไฮโซ นักธุรกิจ
ข่าวเศรษฐกิจ จะเป็นข่าวความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเงิน ราคาสินค้า ดัชนีที่ใช้วัดค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ
ข่าวอาชญากรรม เป็นข่าวอีกประเภทหนึ่งที่มีคนนิยมอ่าน จะเกี่ยวข้องกับ คดีอาชญากรรมต่างๆ การเข้าจับกุมคนร้าย
ข่าวบันเทิง เป็นข่าวยอดนิยมของคนไทย เนื่องจากจะเป็นเรื่องราวในวงการบันเทิงของดารา นักร้อง ศิลปิน ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบ รวมถึง เรื่องคาวๆของวงการด้วย
ข่าวกีฬา เป็นข่าวที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องกีฬาต่างๆ ยิ่งถ้ามีการแข่งขันกีฬาใหญ่ๆ เช่น โอลิมปิก หรือ ฟุตบอลโลก ข่าวเหล่านี้จะเป็นที่ต้องการอย่างมากข่าวกีฬา เป็นข่าวเกี่ยวกับกีฬา
ข่าวไอที เป็นข่าวที่รวบรวมรูปแบบทั้งหมดของเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
                อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: Electronics) เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวงจรไฟฟ้าที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็น active component เช่นหลอดสูญญากาศทรานซิสเตอร์ไดโอด และ Integrated Circuit และ passive component เช่น ตัวนำไฟฟ้าตัวต้านทานไฟฟ้าตัวเก็บประจุ และคอยล์ พฤติกรรมไม่เชิงเส้นของ active component และความสามารถในการควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนทำให้สามารถขยายสัญญาณอ่อนๆให้แรงขึ้นเพื่อการสื่อสารทางภาพและเสียงเช่นโทรเลข, โทรศัพท์, วิทยุ, โทรทัศน์ เป็นต้น อิเล็กทรอนิกส์ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการสื่อสารข้อมูลโทรคมนาคม ความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิทช์ปิดเปิดวงจรถูกนำไปใช้ในวงจร ลอจิกเกต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญหลักในระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้น วงจรอิเล็กทรอนิกส์ยังถูกนำไปใช้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ในการส่งพลังงานไฟฟ้าเป็นระยะทางไกลๆ การผลิตพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมต่างๆอีกมาก
อิเล็กทรอนิกส์แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีเครื่องกลไฟฟ้า โดยจะเกี่ยวข้องกับการสร้าง, การกระจาย, การสวิทช์, การจัดเก็บและการแปลงพลังงานไฟฟ้าไปและมาจากพลังงานรูปแบบอื่น ๆ โดยใช้สายไฟมอเตอร์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบตเตอรี่สวิตช์รีเลย์หม้อแปลงไฟฟ้า ตัวต้านทานและส่วนประกอบที่เป็นพาสซีพอื่นๆ ความแตกต่างนี้เริ่มราวปี 1906 เป็นผลจากการประดิษฐ์ไตรโอดโดยลี เดอ ฟอเรสท์ ซึ่งใช้ขยายสัญญาณวิทยุที่อ่อนๆได้ ทำให้เกิดการออกแบบและพัฒนาระบบการรับส่งสัญญาณเสียงและหลอดสูญญากาศ จึงเรียกสาขานี้ว่า "เทคโนโลยีวิทยุ" จนถึงปี 1950
ปัจจุบัน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ใช้ชิ้นส่วนสารกึ่งตัวนำเพื่อควบคุมการทำงานของอิเล็กตรอน การศึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำและเทคโนโลยีโซลิดสเตต ในขณะที่การออกแบบและการสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติอยู่ภายใต้สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บทความนี้มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น กระดาษข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Web forum) คือ
                เป็นการติดต่อสื่อสาร  ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์  ที่คล้ายกับการเขียนข้อความ  ไว้บนกระดาน เพื่อให้กลุ่มคนที่ต้องการจะสื่อสารกันมาอ่านและเขียนโต้ตอบกันได้  แต่กระดานในที่นี้เป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์  ที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละราย  ปัจจุบันนี้ เว็บไซต์บางแห่งจัดตั้งเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ  แยกเป็นแต่ละกระดานสำหรับ  แต่ละเรื่อง  เช่น  กรณีเว็บไซต์  www.pantip.com  เป็นต้น  นอกจากนั้น  เว็บไซต์บางแห่งอนุญาตให้มีการจัดตั้ง ชุมชนสำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกัน  ใช้สื่อสารกันด้วยจดหมาย เอกสาร รูปภาพ ฯลฯ นักศึกษาสามารถเข้าไปดูตัวอย่างกิจกรรมประเภทนี้ได้ที่ http://groups.msn.com/

6. ห้องสมุด แหล่งข้อมูลความรู้
      นับตั้งแต่มีการพิมพ์หนังสือเกิดขึ้นในศตวรรษที่  18  อารยธรรมของมนุษย์  มีการบันทึกเพื่อถ่ายทอดแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างเป็นระบบ การแต่งหนังสือและการพิมพ์เผยแพร่  เป็นจำนวนครั้งละมากๆ ทำให้การเรียนรู้สามารถขยายขอบเขตออกไปอย่างรวดเร็ว   ยิ่งกว่านั้นหนังสือยังเป็นสื่อที่สามารถอนุรักษ์ความรู้ไว้ได้เป็นเวลายาวนาน  มากกว่าความยืนยาวของชีวิตมนุษย์หลายสิบเท่า  ห้องสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาหนังสือ  จึงมีการจัดการที่เป็นระบบ  ทำให้ค้นหาหนังสือที่ต้องการได้ง่าย  จึงเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
           วิธีการที่ใช้กันในห้องสมุดต่างๆ  ทั่วโลกนั้น  เรียกว่าการจัดทำบัตรรายการ  และการกำหนดหมู่   เลขรหัส   สำหรับหนังสือแต่ละเล่มหรือเอกสารแต่ละชิ้น

            การกำหนดหมู่เลขรหัส  ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  มีสองระบบ  ระบบแรก  เรียกว่า   ระบบดิวอี้  (Dewy Decimal System)  นิยมใช้กันตามสถาบันการศึกษา  ส่วนระบบที่สองเป็นระบบใหม่กว่า  เรียกว่า ระบบแอลซี  (Library of congress System)  เป็นระบบที่คิดขึ้นมาใช้สำหรับห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐ  ซึ่งเป็นห้องสมุดที่มีจำนวนหนังสือ  และเอกสารมากที่สุดในโลก  เหตุที่ต้องคิดหาระบบใหม่ขึ้นมาใช้นั้น ว่ากันว่าเพราะระบบดิวอี้ ดั้งเดิมมีความละเอียดไม่พอ   ไม่สามารถแยกประเภทของหนังสือบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดีพอ  อย่างไรก็ตาม   ระบบดิวอี้   ได้มีการพัฒนาขึ้นในเวลาต่อมา   จนในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมไม่แพ้ระบบแอลซี

            บัตรรายการสำหรับหนังสือแต่ละเล่มหรือเอกสารแต่ละชิ้นนั้น  จะระบุหมู่เลขรหัส   ชื่อหัวเรื่อง  (ชื่อหนังสือหรือเอกสาร)  ชื่อผู้แต่ง   ชื่อสำนักพิมพ์  ปี ค.ศ.  หรือ  พ.ศ.  ที่พิมพ์   และชื่อเมืองที่พิมพ์  และมักจะมีสาระสังเขปเป็นคำอธิบายสั้นๆ  เกี่ยวกับเนื้อหาที่บรรจุด้วย  นอกจากนี้จะมีข้อความหรือรหัสที่ระบุว่าหนังสือหรือเอกสารนั้นๆ  ถูกจัดเก็บอยู่ที่บริเวณใดในห้องสมุดนั้นบัตรรายการต่างๆ  จะถูกนำมาเรียงลำดับอักษร  ตามชื่อหัวเรื่องชุดหนึ่ง  แยกไว้ในตู้บัตรรายการ       คนละตู้กัน   ส่วนหนังสือและเอกสารต่างๆ   จะถูกจัดเก็บบนชั้นหนังสือ  โดยเรียงลำดับตามหมู่เลขรหัส

ตารางที่  1  หลักการกำหนดหมู่เลขรหัสในระบบ  Dewy Decimal System
  100  –  199   ปรัชญาและสาขาที่เกี่ยวข้อง   (Philosophy  and  Related  Disciplines)
   200  –  299   ศาสนา  (Religion)
   300  –  399   สังคมศาสตร์  (Social  Sciences)
   400  –  499   ภาษา (Language)
   500  –  599   วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Sciences)
   600  –  699   เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์  (Technology and Applied Sciences)
   700  –  799   ศิลปะ  (The  Arts)
   800  –  899  วรรณคดี  (Literature)
   900 – 999   ภูมิศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง  (Geography,  History,  and Related Disciplines)



ตารางที่ 2 หลักการกำหนดหมู่เลขรหัสในระบบ LC System

            ระบบ  LC System  จัดหมวดหมู่สิ่งพิมพ์ในห้องสมุด  โดยแบ่งประเภทตามสาขาความรู้ 21  สาขาและใช้อักษร  A  –  Z  (ยกเว้น  I,  O,  W,  X  และ  Y) แทนแต่ละสาขา  นอกจากนั้นยังมีการจัดแบ่งเป็นสาขาย่อยโดยใช้อักษรอีก  1  –  2 ตัว  และตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งแทนสาขาย่อยนั้นๆ  อักษรที่แทนสาขาหลักมีความหมาย  ดังต่อไปนี้


   A  –  ทั่วไป
H – สังคมศาสตร์
Q – วิทยาศาสตร์
  B  –  ปรัชญา  จิตวิทยา  และศาสนา
J – การเมือง
R – แพทยศาสตร์
  C  –  ศาสตร์ข้างเคียงของประวัติศาสตร์
K – กฎหมาย
S – เกษตรศาสตร์
  D  –  ประวัติศาสตร์ทั่วไปและนอกสหรัฐฯ
L – การศึกษา
T – เทคโนโลยี
  E  –  ประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
M – ดนตรี
U–วิทยาศาสตร์การทหาร
  F  –  ประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ท้องถิ่นและทวีปอเมริกา
N – ประณีตศิลป์
V – วิทยาการนาวี
P - ภาษาและรรณคดี
Z–บรรณารักษ์ศาสตร์และสารสนเทศวิทยา
G – ภูมิศาสตร์, มานุษยวิทยา, นันทนาการ






ภาพแสดง  ตู้บัตรรายการและบัตรรายการ

             การค้นหาหนังสือที่ต้องการเริ่มจากการค้นหาบัตรรายการก่อน  โดยอาจค้นตามชื่อหัวเรื่องหรือค้นตามชื่อผู้แต่งก็ได้  แล้วอ่านดูสาระสังเขปว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่  หากเห็นว่าใกล้เคียงก็จดหมู่เลขรหัส  และบริเวณที่จัดเก็บไว้  เพื่อไปหาหนังสือ  หรือ  เอกสารนั้นบนชั้น ต่อไป

            ปัจจุบันนี้ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย  โดยการบันทึกข้อมูลบัตรรายการทั้งหมดลงในฐานข้อมูล  และใช้โปรแกรมพิเศษเพื่อเรียกข้อมูลออกมาแสดงผล  โปรแกรมดังกล่าว ช่วยให้การค้นหาหนังสือ หรือ เอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นโดยการเชื่อมโยงผ่าน คำสำคัญ (Key Word) ที่ปรากฏอยู่ในชื่อหัวเรื่อง หรือ  สาระสังเขป  เพียงแต่ผู้ค้นหาพิมพ์คำสำคัญลงไปในช่องที่กำหนด โปรแกรมแสดงผลก็นะจำข้อมูลตามบัตรรายการของหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์

            อย่างไรก็ตาม  ในช่วงเวลาประมาณ  100  ปีที่ผ่านมา  หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ์ที่มีออกมาเผยแพร่นั้น ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีผู้ขนานนามว่าเป็นการระเบิดของข้อมูลข่าวสาร  (Information Explosion) ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการจัดเก็บและการค้นหา  แม้จะมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยแล้วก็ตาม

7. Digital Library ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

           Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)  หมายถึง  การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์  แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์  ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว  แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้องสมุดแบบดั้งเดิม หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม  ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ  ประการแรก  สิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก  หากจะนำมาดิจิไทซ์  (digitize) หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล  ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง  ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน  ยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์  แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้น สามารถอ่านได้ครั้งละนานๆ มากขึ้น ประการที่สาม ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และวิธีการจัดการกับปัญหานี้  ในกรณีที่ต้องการแปลงสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่เป็นสารสนเทศแบบดิจิทัลเพื่อนำออกเผยแพร่  ยังไม่มีกฎหมายหรือหลักการที่เป็นสากลว่าด้วยเรื่องนี้   หากยังต้องอาศัยการตกลงกันเองระหว่างคู่กรณีเป็นรายๆ ไป ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง  อย่างไรก็ตามการแปลงสิ่งพิมพ์เป็นสารสนเทศดิจิทัลนั้น  เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ  เพื่อการอนุรักษ์สิ่งพิมพ์เก่าๆไว้เอกสารที่เป็นกระดาษนั้น  หากจัดเก็บถูกวิธีอาจสามารถอยู่ได้นับพันปี  เช่น  เอกสารที่ทำด้วยกระดาษปาปิรัส สมัยอียิปต์หรือบาลิโลเนียยังมีหลงเหลือให้เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ  ของโลก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  หนังสือหรือเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีอายุใช้งานเพียง  100 -  200 ปีเป็นอย่างมาก  ตัวอย่างเช่น  หนังสือเรื่อง  The Pilgrim Kamanita  ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เสถียรโกศ  และนาคประทีป  นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทย  ชื่อ กามนิต  วาสิฏฐี  นั้น ขณะนี้เหลืออยู่ที่  The British Museum ที่กรุงลอนดอนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น  และอยู่ในสภาพถูกเก็บตาย  เพราะกระดาษกรอบหมดแล้ว นำมาเปิดอ่านไม่ได้ เอกสารทำนองนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และต้องหาวิธีอนุรักษ์ไว้ให้ได้เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า  และบางอย่างเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ วิธีอนุรักษ์วิธีหนึ่ง คือ การนำมากราดตรวจ  หรือ  ถ่ายภาพหน้าต่อหน้า แล้วบันทึกใส่ซีดีรอม  (CD-ROM) ไว้  อย่างไรก็ตามซีดีรอมเองก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวมากมายนัก  เชื่อกันว่าสามารถจะเก็บได้นาน 30 – 50 ปี เท่านั้น  แต่ถ้ามีการทำสำเนาก่อนที่ซีดีรอมแผ่นนั้นจะหมดอายุ ก็สามารถเก็บไปได้ตลอด  เพราะการทำสำเนาข้อมูลดิจิทัลนั้นจะได้สำเนาที่มีคุณภาพเท่าต้นฉบับดิจิทัล ไม่มีการเสื่อมลงทุกครั้งที่ทำสำเนาเหมือนระบบอนาลอค  ดังนั้น ห้องสมุดดิจิทัลจะสามารถให้บริการเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ   ที่มีอายุมากๆได้
           รูปแบบของเอกสารที่จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น  ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา  ซึ่งจะยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้  แม้ว่าจะเริ่มมีการวางมาตรฐานกันบ้างแล้วก็ตาม รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานกันมากที่สุดขณะนี้  คือ  อีบุ๊ค  (E-book)  หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  กับ  อีเจอร์นัล  (E-journal) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์  และ  อีแมกกาซีน (E-magazine)  หรือนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์  ความได้เปรียบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เหนือ  สื่อสิ่งพิมพ์หลายประการ  ประการแรก  ต้นทุนในการจัดทำต่ำกว่า  ประการที่สอง  สามารถใช้สื่อประสม  (Multimedia)  มาประกอบได้  คือ  มีได้ทั้งภาพนิ่ง   ภาพเคลื่อนไหว   (ทั้งที่เป็นรูปวาด  รูปถ่าย  และวีดิทัศน์)  และเสียงด้วย ประการที่สาม  สามารถมี  การเชื่อมโยงข้อความหลายมิติ  (Hypertext)  เพื่ออธิบายขยายความ  หรือ  เพื่อขยายขนาดของภาพประกอบให้ใหญ่ขึ้นหรือชัดเจนขึ้น  ประการที่สี่  สามารถค้นหารายละเอียดคำสำคัญต่างๆโดยใช้วิธีการของ   โปรแกรมค้นหา  ( Search engine)  ซึ่งรวดเร็วทันใจ  และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบดัชนี  (Index)  ของหนังสือ   ส่วนข้อเสียเปรียบที่สำคัญ  คือ  ต้องใช้คอมพิวเตอร์และใช้ไฟฟ้าในการเปิดอ่าน

          ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ต่างกับห้องธรรมดาตรงที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่  เพียงแต่มี  คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Sever)  สำหรับเก็บข้อมูล  มีเครือข่าย (Network)  ต่อเชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย  (Clients)  ที่ให้บริการ ซึ่งอาจกระจายอยู่ตราที่ต่างๆ  ก็ได้  เครือข่ายนั้นจะเป็นเครือข่ายส่วนตัว  Private  Network  หรือ  Intranet) ที่ใช้ภายในองค์กรก็ได้  หรือจะเป็นเครือข่ายสาธารณะ   เช่น   อินเทอร์เน็ต



ภาพแสดง  ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

          ในต่างประเทศส่วนใหญ่  ห้องสมุดสาธารณะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป  ทุกท้องที่ระดับอำเภอซึ่งมีประชากรตั้งแต่  10,000  คนขั้นไป  จะมีห้องสมุดสาธารณะขององค์การปกครอง  ท้องถิ่น  แต่ในประเทศไทยห้องสมุดเช่นนี้จะมีตามเมืองใหญ่ๆ  ที่มีเทศบาลเมืองเป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น การใช้ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แทนห้องสมุดธรรมดา  จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถกระจายบริการห้องสมุดสาธารณะออกไปให้ทั่วถึงทุกอำเภอได้โดยลงทุนไม่มากนัก  เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี

8. แหล่งข้อมูลของประเทศไทยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

     เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่าย  ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมาก  เครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารบางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่  เช่น  ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทผลิตรถยนต์  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆ  จากบริษัท  และอาจมีข้อมูลประเภทความรู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของยานยนต์  เทคโนโลยีใหม่ๆ  เกี่ยวกับยานยนต์  มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน  วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ  เป็นต้น  หากเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทของบริษัทท่องเที่ยว  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ  ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง  ข้อมูลเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าประเทศต่างๆ  เพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา  ของประเทศนั้นๆ  เป็นต้น  ปัจจุบันนี้  ข้อมูลต่างๆ  เหล่านี้อยู่ในรูปแบบของเอกสาร  ที่มีการเชื่องโยงกันภายใต้มาตรฐาน   World Wide Web (หรือ  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  http  Hypertext  Transfer  Protocol)  เราเรียกแหล่งข้อมูล  แต่ละแห่งเหล่านี้  ว่า  เป็น เว็บไซต์  (Web Site)  ซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลในระบบ  World Wide Web  นั่นเอง
ประเทศไทยเราก็ได้มีการจัดตั้งเว็บไซต์ขึ้นเป็นจำนวนมาก   ทั้งของภาครัฐและของภาคเอกชน  ในที่นี้จะได้กล่าวถึงเว็บไซต์ที่คิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับนักศึกษา โดยจะแยกกล่าวเป็นแต่ละประเภทของข้อมูลหลักในเว็บไซต์นั้นๆ
· เว็บไซต์ประเภท Portal หรือ Gateway หรือชุมทาง
             ที่กล่าวถึงเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นประเภทแรก  เพราะเป็นประเภทที่มีประโยชน์มาก  เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าจะหาข้อมูลประเภทที่ต้องการได้จากแหล่งใด  หากเราเข้าไปที่เว็บไซต์ประเภทนี้ จะพบว่าในเว็บไซต์ได้ทำจุดเชื่อโยงไปยังเว็บไซต์อื่น  โดยจัดแบ่งเป็นประเภทไว้  ทำให้เราสามารถหาแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น  คล้ายกับการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองนั่นเอง  เว็บไซต์ชุมทางที่สำคัญในประเทศไทย  คือ http://www.nectec.or.th จัดทำโดย


ภาพแสดง  เว็บไซต์ของ  SchoolNet

           ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกของประเทศไทย  และเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดทำเว็บไซต์ แม้ว่าในปัจจุบันนี้  เว็บไซต์แห่งนี้จะมีข้อมูลมากเกินไป  และการจัดระบบข้อมูลเริ่มจะไม่รองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว   ทำให้การค้นหายากขึ้น  อย่างไรก็ตาม เราก็ยังถือได้ว่า เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับประเทศไทยที่ดี

 เว็บไซต์ประเภทของการศึกษา
  เว็บไซต์การศึกษาในประเทศไทย  มีจำนวนมากทั้งของสถานบันอุดมศึกษา  และของโรงเรียนต่างๆ  เว็บไซต์ที่อาจถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ชุมทางประเภทการศึกษา   ได้แก่
  1.  เว็บไซต์โครงการ   SchoolInet  @  1509  (http://www.school.net.th)  เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ  ที่เป็นสมาชิกโครงการ  SchoolINet  และที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
   2. เว็บไซต์ LearnOnline  (http://www.learn.in.th)  ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย  (Thailand  Graduate I nstitute  of  Science  and  Technology  TGIST)   เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ในทุกระดับการศึกษา  และมีทำเนียบเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์อื่น  ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน



ภาพแสดงว็บไซต์ของ SchoolNet

· เว็บไซต์ประเภทศิลปวัฒนธรรม
           เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย  http://www.culture.go.th  ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จัดว่าเป็นเว็บไซต์หลักในเว็บไซต์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ข้อมูล  ด้านศิลปวัฒนธรรม  มักจะมีปรากฏอยู่บ้างตามเว็บไซต์ของสถานบันอุดมศึกษาต่างๆ  และของภาคเอกชนที่เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว
ภาพแสดง  เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย


เว็บไซต์ประเภทท้องถิ่น
              เว็บไซต์ประเภทนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว  เว็บไซต์ชุมทางของประเภทนี้  ได้แก่ http://www.thaitambon.com  ซึ่งเป็นที่รวบรวมเว็บไซต์ของตำบลต่างๆ  ทั่วประเทศไทย  เพื่อสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์นอกจากนี้จังหวัดใหญ่ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็มักจะมีเว็บไซต์ของจังหวัด และสถานบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับโรงเรียน  ก็มักจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นไว้ในเว็บไซต์ของสถานบันด้วย


ภาพแสดง  เวบไซตืไทยตำบลดอทคอม

· เว็บไซต์ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
            เว็บไซต์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th)   เป็นเว็บไซต์หลักสำหรับสารสนเทศ  ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีการเชื่อมโยง  ไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เช่น   เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้งสาม ได้แก่ http://www.nectec.or.th http://www.mtec.or.th   http://www.biotec.or.th  และ  เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆ  ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ภาพแสดง  เว็บไซต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี



· เว็บไซต์ประเภทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
            พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  (e - Commerce)  หมายถึง  การทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  ขณะนี้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก  ทั้งการค้าปลีกหรือค้าส่ง  การซื้อขายสินค้าหรือบริการ  ในยุคโลกาภิวัตน์นี้  ทำให้ประเทศไทยสามารถค้าขาขายกับต่างประเทศได้ถึงในระดับผู้ค้าปลีก ทั้งนี้เราต้องพยายามเพิ่มขีดความสามารถ  ในการแข่งขันทางการค้าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยจะต้องเรียนให้รู้และทำให้เป็น เว็บไซต์ http://www.ecommerce.or.th  ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์บางแห่งของภาครัฐและภาคเอกชน  เช่น  http://www.moc .go.th  ของกระทรวงพาณิชย์ และ http://www.depthai.go.th ของกรมส่งเสริมการส่งออกส่วน  http://www.thaitrad epoint.com  เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่น่าสนใจเพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสเข้าสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย

ภาพแสดง  เว็บไซต์เกี่ยวกับ  e - Commerce





1 ความคิดเห็น: